ลิฟต์ทั่วๆ ไปประกอบไปด้วยส่วนหลักๆ ดังนี้
1. เครื่องจักรขับลิฟต์ (Traction Machine)เป็นอุปกรณ์หลักของระบบลิฟต์ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนลิฟต์ขึ้นลง
2. ชุดลูกถ่วง (Counterweight)ประกอบด้วยโครงเหล็กซึ่งบรรจุก้อนน้ำหนักที่ทำด้วยเหล็กหล่อ ทำหน้าที่ถ่วงดุลกับน้ำหนักของติ้ลฟต์และจำนวนผู้โดยสารเพื่อให้มอเตอร์ลิฟต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
3. รางลิฟต์ (Guide Rail)เป็นเหล็กรูปตัว T ทำหน้าที่นำร่องให้ลิฟต์วิ่งขึ้นลงในแนวที่กำหนดและรักษาตำแหน่งตัวลิฟต์ให้ทรงตัวและได้ศูนย์ตลอดเวลา รางลิฟต์มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับขนาดของตัวลิฟต์ น้ำหนักบรรทุกและความเร็วลิฟต์ เป็นต้น โดยทั่วไประบบลิฟต์จะมีรางขนาดใหญ่สำหรับนำร่องตัวลิฟต์และรางขนาดเล็กกว่าสำหรับนำร่องชุดลูกถ่วง
4. ตู้โดยสาร (Lift Car)ประกอบไปด้วยห้องโดยสารที่ยึดกับโครงเหล็กกล้าที่แข็งแรง พร้อมอุปกรณ์นิรภัย (Safety Gear) ป้องกันไม่ให้ลิฟต์ตก เมื่อสลิงขาดตู้โดยสารมีขนาดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทและน้ำหนักบรรทุกของลิฟต์
5. บัฟเฟอร์ (Buffer)เป็นอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ตัวลิฟต์กระแทกกับพื้นบ่อลิฟต์ กรณีลิฟต์วิ่งเลยชั้นล่างสุดเนื่องจากความผิดพลาดของระบบควบคุม บัฟเฟอร์จะผ่อนแรงกระแทกเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้โดยสาร
6. ตู้คอนโทรล (Controller)ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของลิฟต์ทั้งระบบ เช่น ควบคุมความเร็ว ควบคุมการเปิดปิดประตูจัดคิวการวิ่งรับส่งผู้โดยสาร เป็นต้น และชนิดของคอนโทรลดังกล่าวยังแตกย่อยออกตามประเภทระบบขับเคลื่อนด้วย เช่น VVVF , DC Drive เป็นต้น
7. ประตูหน้าชั้น (Landing Door)ระบบลิฟต์ทั่วไปจะมีประตู 2 ส่วน คือประตูในลิฟต์ (Car Door) และประตูหน้าชั้นต่างๆ ตามจำนวนชั้นจอดของลิฟต์ ปกติประตูหน้าชั้นจะเปิดปิดได้ก็ต่อเมื่อตัวลิฟต์จะต้องจอดอยู่ที่ชั้นนั้นและประตูที่ชั้นอื่นจะเปิดไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้การใช้งานมีความปลอดภัยสูงสุด ประตูลิฟต์มีหลายแบบ ที่พบเห็นกันโดยทั่วไปจะมี
- เปิดจากกึ่งกลาง (Center Opening)
- เปิดจากด้านข้าง (Slide Opening)
8. สลิงลิฟต์ (Wire Rope)ใช้สำหรับแขวนตัวลิฟต์และชุดลูกถ่วง และฉุดให้ลิฟต์ขึ้นลงด้วยแรงเสียดทานของลวดสลิงกับร่องของมูลเล่ย์
9. ปุ่มกด (Button)ใช้สำหรับเรียกลิฟต์รับส่งไปยังชั้นต่างๆ ที่ต้องการ แผงปุ่มกดมีอยู่ 2 ส่วนคือ
- แผงปุ่มกดในลิฟต์ (Car Operating Panel)
ประกอบด้วยปุ่มเรียกไปตามชั้นต่างๆ ปุ่มปิด เปิดประตู ปุ่มแจ้งเหตุและอินเตอร์คอม
- แผงปุ่มกดหน้าชั้น (Hall Button)
ประกอบด้วยปุ่มเรียกลิฟต์มารับขาขึ้นและขาลงอย่างละปุ่ม
10. สายเคเบิล (Travelling Cable)เป็นสายไฟที่วิ่งขึ้นลงพร้อมกับตัวลิฟต์ ทำหน้าที่เชื่อมสัญญาณ เช่น ปุ่มกดและสวิทซ์ต่างๆ ที่ตู้ลิฟต์กับตู้คอนโทรลในห้องเครื่อง
บริษัท เอ็ม ที ที เอส เอลิเวเตอร์ เซอร์วิส จำกัด MTTS Elevator Service Co.,Ltd. 72/764 หมู่ 6 ถ.เสมาฟ้าคราม อ.ลำลูกกา ปทุมธานี 12130 โทร.02-987-7031,081-704-9988 โทรสาร.02-904-4520 eMail:MTTSservice@hotmail.com บริการติดตั้ง ซ่อม บำรุง ดูแลรักษา ลิฟท์บ้าน ลิฟท์โดยสาร อะไหล่ลิฟท์ ลิฟท์แก้ว ลิฟท์ลาดชัน ลิฟท์ บันใดเลื่อน ทั่วราชอาณาจักร
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับระบบลิฟท์ # 2
เชื่อหรือไม่ตึกสูงหลายตึก ล่าช้าเพราะว่างานลิฟท์ไม่ทันเวลา
แม้ว่าตึกโดยทั่วไปการวางแผนงานก่อสร้างอาคารสูง จะถูกกำหนดออกเป็นสามขั้นตอน คือในขั้นตอนแรก ควบคุม โดยจำนวนคอนกรีต ขั้นตอนที่สอง ควบคุมโดยจำนวนพื้นที่ผนัง และขั้นตอนสุดท้าย ควบคุมโดยการ ตกแต่งพื้น (ดูรายละเอียดในปัญหาข้อที่ 131) แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณอาจจะมองข้ามไปและอาจทำให้งานก่อสร้าง อาคารสูง ของคุณนั้น ล่าช้าออกไป จนอาจไม่สามารถทำงานตกแต่งพื้นให้ทันเวลาขั้นสุดท้ายได้
… สิ่งนั้นก็คือ "ลิฟท์" เพราะลิฟท์จะเริ่มทำงานได้ต่อเมื่อ งานโครงสร้างก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยจนถึงหลังคา- ห้องเครื่องลิฟท์ หลังจากนั้น จะใช้เวลาอีก 5-6 เดือนงานลิฟท์จึงจะเสร็จเรียบร้อย ช่วงต่อที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ เมื่อทำโครงสร้าง ถึงยอดแล้ว ผู้รับเหมา มักจะรอสัก 2-3 เดือน ก็จะต้องเอา Tower Crane ออก เพื่อทำการ ตกแต่ง ผนังภายนอก และทำความสะอาดขั้นสุดท้าย ซึ่งมีเวลาห่างกันระหว่างเอา Tower Crane ออกแล้ว กับระยะเวลา ที่ลิฟท์ยังทำงานไม่ได้ การขนส่งทางตั้ง ของคน และวัสดุก่อสร้าง จะมีปัญหา (ลิฟท์ชั่วคราว สำหรับการก่อสร้าง ก็ต้องเอาออก เพราะต้องมีการตกแต่ง ผนังภายนอกเช่นเดียวกัน)
อาคารบางอาคารอาจจะไม่มีปัญหานี้ เพราะการตกแต่งผนังและพื้นจะดำเนินการไปพร้อม ๆ กับงานโครงสร้าง แต่ปัญหาเรื่องลิฟท์ ก็ยังคงเกิดขึ้นอีก เพราะอาคารสูง ที่มีลิฟท์จำนวนมาก ต้องมีการปรับแต่งระบบเครื่องกล ของลิฟท์ ให้ลิฟท์ทุกตัว วิ่งเป็นระบบซึ่งกันและกัน (ภาษาช่างเขาเรียกว่า Syncronize) การปรับแต่งนี้ จะใช้กระแสไฟฟ้า จำนวนมาก ซึ่งโดยทั่วไป ไฟฟ้าชั่วคราว ที่ขอการไฟฟ้า มาเพื่อทำการก่อสร้าง จะไม่เพียงพอ ทำให้การปรับแต่งลิฟท์ ดังกล่าว ไม่สามารถจะทำได้ จนกว่าอาคารทั้งหมดจ ะเสร็จสิ้น การไฟฟ้าจึงมาติดตั้ง ระบบไฟฟ้าถาวรให้ และลิฟท์ก็จะต้องรอ ต้องรอ และต้องรอ
จึงขอเรียนมายังผู้ที่มีวงจรชีวิตเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง หรือบริหารการก่อสร้างอาคารสูงทั้งหลายว่า เมื่อวางแผนอะไร เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมนับถอยหลังในส่วนงานลิฟท์เอาไว้บ้าง น่าจะดีครับ
ไม่จำเป็นนักหนา อย่าให้ลิฟท์ต้องลงไปจอดถึงชั้นใต้ดินเลย
ตามที่เคยคุยกันมาแล้วว่า งานก่อสร้างที่มีราคาแพงที่สุดก็คืองานในส่วนใต้ดิน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ตามข้อที่ 142) เพราะต้องใช้วิทยาการ ไปต่อสู้กับธรรมชาติ มากที่สุด ต้องมีการขุดดินออก ต้องมีระบบ ป้องกัน ดินพัง ที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้น โครงการก่อสร้างของท่าน อาจจะต้องล้มเหลว ตั้งแต่ยังไม่มี ส่วนของอาคาร ส่วนใด ส่วนหนึ่ง โผล่พ้นดินขึ้นมาเลย แต่ที่บอกว่าไม่น่าจะใช้ลิฟท์จอดชั้นใต้ดิน ไม่ใช่กลัวเวลาน้ำท่วม น้ำจะไหลท่วม เข้าบ่อลิฟท์ หรอกครับ แต่ก็เพราะว่า ลิฟท์ทุกตัว ทุกระบบ ทุกยี่ห้อ จะต้องมีบ่อลิฟท์อยู่ข้างใต้ ของพื้น ที่ลิฟท์จอดชั้นสุดท้าย (ความลึกเปลี่ยนไปตาม ความเร็วของลิฟท์ เฉลี่ยลึกตั้งแต่ 1.50-2.50 เมตร)
เมื่อจำเป็นต้องมีบ่อลิฟท์ ดังกล่าว และบ่อลิฟท์จะอยู่ด้วยตนเองไม่ได้ ต้องวางอยู่บนฐานราก (ซึ่งมักจะเป็น ฐานรากตัวที่โตที่สุด ในอาคารด้วย) ทำให้ฐานรากนั้น ต้องอยู่ลึกลงกว่าฐานรากทั่วไป ของอาคาร เท่ากับ ความลึก ของบ่อลิฟท์ แล้วการขุดดินที่มากขึ้น การป้องกันดินพัง ก็ลำบากยากเย็นขึ้นอีก …. แพงและเสียเวลา
สรุปก็คือ หากอาคารท่านมีห้องใต้ดิน ลิฟท์ไม่น่าจะถูกออกแบบให้ไปจอด ณ ชั้นล่างสุดของห้องใต้ดิน แต่น่าจะจอด จุดสุดท้าย ณ ชั้นก่อนล่างสุดครับ
หากอาคารสำนักงานของคุณมีลิฟท์ไม่พอใช้ (รอนาน) จะแก้ไขอย่างไร
หากใครเดินท่องเที่ยวอยู่ตามอาคารสำนักงานหลายแห่ง อาจสังเกตเห็น (ด้วยความเบื่อหน่าย) ได้ว่า อาคาร บางอาคาร คุณอาจต้องรอลิฟท์มาจอดรับคุณตั้ง 10-15 นาที ซึ่งเป็นความเหลือทนมากทีเดียว
…. หากคุณอยากจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ลองแก้แบบนี้ดูครับ
1. เพิ่มจำนวนลิฟท์ (คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะอาคารสำนักงาน มักเป็นอาคารสูง ที่การเพิ่มจำนวนลิฟท์ ทำไม่ได้ เนื่องจากความจำกัด ของระบบโครงสร้าง)
2. ด่าเจ้าของอาคารหรือผู้ออกแบบ (ก็คงเพื่อความสบายใจเท่านั้น แก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ นอกจากเป็นความสบายใจ ที่ได้ระบายออก)
3. มีเคาน์เตอร์สำหรับปรับเอกสารที่โถงข้างล่าง (ข้อนี้รู้สึกว่าจะเริ่มเข้าท่าเข้าที เพราะจากการสำรวจพบว่า ลิฟท์อาคารหลายแห่ง ถูกใช้เพราะพนักงานส่งเอกสาร มากเกินจำเป็น หากท่านมีเคาน์เตอร์ สำหรับเอกสาร จำนวนพนักงานส่งเอกสาร ก็ใช้ลิฟท์น้อยลง ลิฟท์ก็จะพอเหลือให้คุณใช้บ้าง)
4. มีลิฟท์เฉพาะสำหรับการขนส่ง เช่น น้ำดื่ม ต้นไม้ หรือจำกัดเวลา เพราะการขนของเหล่านี้ จะเสียเวลา ในการหยุดรอ การขนถ่ายของเข้าออก มาก (อาจใช้ลิฟท์ตัวนี้ สำหรับ พนักงานส่งเอกสารด้วยเลย ก็ได้ เช่น มีลิฟท์ 5 ตัว ก็จะใช้เพียง 1 ตัวสำหรับการขนของ และการส่งเอกสาร ส่วนอีก 4 ตัว เอาไว้ใช้งาน ทั่วไป)
5. หากมีที่จอดรถหลายชั้น และใช้ลิฟท์ร่วมกันกับตัว Tower ก็อาจต้องให้ลิฟท์บางตัว ไม่จอด ที่ชั้นจอดรถ เหล่านั้น เพราะการที่ลิฟท์เดินทางช้า ก็เพราะการหยุดจอดมากจุดเกินไป หากกำหนดจุด ที่ลิฟท์จอด น้อย ๆ และแต่ละครั้งที่ จอดให้มีคนเข้าไปมาก ๆ ลิฟท์จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
6. ลองแบ่งลิฟท์ออกเป็น 2 ชุด (สมมุติมีลิฟท์ 6 ตัว ก็แบ่งเป็นชุดละ 3 ตัว) และให้สลับชุดจอด คนละชั้น (จอดชั้นคู่กับชั้นคี่เป็นต้น) เพื่อให้ลิฟท์แต่ละชุด มีจุดจอดน้อยลง เสริมประสิทธิภาพของลิฟท์ ให้มากขึ้น
7. มีพนักงานประจำลิฟท์ เพื่อควบคุมไม่ให้มีการกดเล่น ควบคุมการทำงานและเดินทางของลิฟท์ มีประโยชน์สูงสุด
ที่มา : http://www.smilehomes.com/w_lift2.htm
แม้ว่าตึกโดยทั่วไปการวางแผนงานก่อสร้างอาคารสูง จะถูกกำหนดออกเป็นสามขั้นตอน คือในขั้นตอนแรก ควบคุม โดยจำนวนคอนกรีต ขั้นตอนที่สอง ควบคุมโดยจำนวนพื้นที่ผนัง และขั้นตอนสุดท้าย ควบคุมโดยการ ตกแต่งพื้น (ดูรายละเอียดในปัญหาข้อที่ 131) แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณอาจจะมองข้ามไปและอาจทำให้งานก่อสร้าง อาคารสูง ของคุณนั้น ล่าช้าออกไป จนอาจไม่สามารถทำงานตกแต่งพื้นให้ทันเวลาขั้นสุดท้ายได้
… สิ่งนั้นก็คือ "ลิฟท์" เพราะลิฟท์จะเริ่มทำงานได้ต่อเมื่อ งานโครงสร้างก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยจนถึงหลังคา- ห้องเครื่องลิฟท์ หลังจากนั้น จะใช้เวลาอีก 5-6 เดือนงานลิฟท์จึงจะเสร็จเรียบร้อย ช่วงต่อที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ เมื่อทำโครงสร้าง ถึงยอดแล้ว ผู้รับเหมา มักจะรอสัก 2-3 เดือน ก็จะต้องเอา Tower Crane ออก เพื่อทำการ ตกแต่ง ผนังภายนอก และทำความสะอาดขั้นสุดท้าย ซึ่งมีเวลาห่างกันระหว่างเอา Tower Crane ออกแล้ว กับระยะเวลา ที่ลิฟท์ยังทำงานไม่ได้ การขนส่งทางตั้ง ของคน และวัสดุก่อสร้าง จะมีปัญหา (ลิฟท์ชั่วคราว สำหรับการก่อสร้าง ก็ต้องเอาออก เพราะต้องมีการตกแต่ง ผนังภายนอกเช่นเดียวกัน)
อาคารบางอาคารอาจจะไม่มีปัญหานี้ เพราะการตกแต่งผนังและพื้นจะดำเนินการไปพร้อม ๆ กับงานโครงสร้าง แต่ปัญหาเรื่องลิฟท์ ก็ยังคงเกิดขึ้นอีก เพราะอาคารสูง ที่มีลิฟท์จำนวนมาก ต้องมีการปรับแต่งระบบเครื่องกล ของลิฟท์ ให้ลิฟท์ทุกตัว วิ่งเป็นระบบซึ่งกันและกัน (ภาษาช่างเขาเรียกว่า Syncronize) การปรับแต่งนี้ จะใช้กระแสไฟฟ้า จำนวนมาก ซึ่งโดยทั่วไป ไฟฟ้าชั่วคราว ที่ขอการไฟฟ้า มาเพื่อทำการก่อสร้าง จะไม่เพียงพอ ทำให้การปรับแต่งลิฟท์ ดังกล่าว ไม่สามารถจะทำได้ จนกว่าอาคารทั้งหมดจ ะเสร็จสิ้น การไฟฟ้าจึงมาติดตั้ง ระบบไฟฟ้าถาวรให้ และลิฟท์ก็จะต้องรอ ต้องรอ และต้องรอ
จึงขอเรียนมายังผู้ที่มีวงจรชีวิตเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง หรือบริหารการก่อสร้างอาคารสูงทั้งหลายว่า เมื่อวางแผนอะไร เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมนับถอยหลังในส่วนงานลิฟท์เอาไว้บ้าง น่าจะดีครับ
ไม่จำเป็นนักหนา อย่าให้ลิฟท์ต้องลงไปจอดถึงชั้นใต้ดินเลย
ตามที่เคยคุยกันมาแล้วว่า งานก่อสร้างที่มีราคาแพงที่สุดก็คืองานในส่วนใต้ดิน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ตามข้อที่ 142) เพราะต้องใช้วิทยาการ ไปต่อสู้กับธรรมชาติ มากที่สุด ต้องมีการขุดดินออก ต้องมีระบบ ป้องกัน ดินพัง ที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้น โครงการก่อสร้างของท่าน อาจจะต้องล้มเหลว ตั้งแต่ยังไม่มี ส่วนของอาคาร ส่วนใด ส่วนหนึ่ง โผล่พ้นดินขึ้นมาเลย แต่ที่บอกว่าไม่น่าจะใช้ลิฟท์จอดชั้นใต้ดิน ไม่ใช่กลัวเวลาน้ำท่วม น้ำจะไหลท่วม เข้าบ่อลิฟท์ หรอกครับ แต่ก็เพราะว่า ลิฟท์ทุกตัว ทุกระบบ ทุกยี่ห้อ จะต้องมีบ่อลิฟท์อยู่ข้างใต้ ของพื้น ที่ลิฟท์จอดชั้นสุดท้าย (ความลึกเปลี่ยนไปตาม ความเร็วของลิฟท์ เฉลี่ยลึกตั้งแต่ 1.50-2.50 เมตร)
เมื่อจำเป็นต้องมีบ่อลิฟท์ ดังกล่าว และบ่อลิฟท์จะอยู่ด้วยตนเองไม่ได้ ต้องวางอยู่บนฐานราก (ซึ่งมักจะเป็น ฐานรากตัวที่โตที่สุด ในอาคารด้วย) ทำให้ฐานรากนั้น ต้องอยู่ลึกลงกว่าฐานรากทั่วไป ของอาคาร เท่ากับ ความลึก ของบ่อลิฟท์ แล้วการขุดดินที่มากขึ้น การป้องกันดินพัง ก็ลำบากยากเย็นขึ้นอีก …. แพงและเสียเวลา
สรุปก็คือ หากอาคารท่านมีห้องใต้ดิน ลิฟท์ไม่น่าจะถูกออกแบบให้ไปจอด ณ ชั้นล่างสุดของห้องใต้ดิน แต่น่าจะจอด จุดสุดท้าย ณ ชั้นก่อนล่างสุดครับ
หากอาคารสำนักงานของคุณมีลิฟท์ไม่พอใช้ (รอนาน) จะแก้ไขอย่างไร
หากใครเดินท่องเที่ยวอยู่ตามอาคารสำนักงานหลายแห่ง อาจสังเกตเห็น (ด้วยความเบื่อหน่าย) ได้ว่า อาคาร บางอาคาร คุณอาจต้องรอลิฟท์มาจอดรับคุณตั้ง 10-15 นาที ซึ่งเป็นความเหลือทนมากทีเดียว
…. หากคุณอยากจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ลองแก้แบบนี้ดูครับ
1. เพิ่มจำนวนลิฟท์ (คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะอาคารสำนักงาน มักเป็นอาคารสูง ที่การเพิ่มจำนวนลิฟท์ ทำไม่ได้ เนื่องจากความจำกัด ของระบบโครงสร้าง)
2. ด่าเจ้าของอาคารหรือผู้ออกแบบ (ก็คงเพื่อความสบายใจเท่านั้น แก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ นอกจากเป็นความสบายใจ ที่ได้ระบายออก)
3. มีเคาน์เตอร์สำหรับปรับเอกสารที่โถงข้างล่าง (ข้อนี้รู้สึกว่าจะเริ่มเข้าท่าเข้าที เพราะจากการสำรวจพบว่า ลิฟท์อาคารหลายแห่ง ถูกใช้เพราะพนักงานส่งเอกสาร มากเกินจำเป็น หากท่านมีเคาน์เตอร์ สำหรับเอกสาร จำนวนพนักงานส่งเอกสาร ก็ใช้ลิฟท์น้อยลง ลิฟท์ก็จะพอเหลือให้คุณใช้บ้าง)
4. มีลิฟท์เฉพาะสำหรับการขนส่ง เช่น น้ำดื่ม ต้นไม้ หรือจำกัดเวลา เพราะการขนของเหล่านี้ จะเสียเวลา ในการหยุดรอ การขนถ่ายของเข้าออก มาก (อาจใช้ลิฟท์ตัวนี้ สำหรับ พนักงานส่งเอกสารด้วยเลย ก็ได้ เช่น มีลิฟท์ 5 ตัว ก็จะใช้เพียง 1 ตัวสำหรับการขนของ และการส่งเอกสาร ส่วนอีก 4 ตัว เอาไว้ใช้งาน ทั่วไป)
5. หากมีที่จอดรถหลายชั้น และใช้ลิฟท์ร่วมกันกับตัว Tower ก็อาจต้องให้ลิฟท์บางตัว ไม่จอด ที่ชั้นจอดรถ เหล่านั้น เพราะการที่ลิฟท์เดินทางช้า ก็เพราะการหยุดจอดมากจุดเกินไป หากกำหนดจุด ที่ลิฟท์จอด น้อย ๆ และแต่ละครั้งที่ จอดให้มีคนเข้าไปมาก ๆ ลิฟท์จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
6. ลองแบ่งลิฟท์ออกเป็น 2 ชุด (สมมุติมีลิฟท์ 6 ตัว ก็แบ่งเป็นชุดละ 3 ตัว) และให้สลับชุดจอด คนละชั้น (จอดชั้นคู่กับชั้นคี่เป็นต้น) เพื่อให้ลิฟท์แต่ละชุด มีจุดจอดน้อยลง เสริมประสิทธิภาพของลิฟท์ ให้มากขึ้น
7. มีพนักงานประจำลิฟท์ เพื่อควบคุมไม่ให้มีการกดเล่น ควบคุมการทำงานและเดินทางของลิฟท์ มีประโยชน์สูงสุด
ที่มา : http://www.smilehomes.com/w_lift2.htm
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับระบบลิฟท์ # 1
เลือกระบบลิฟท์ (Elevator) อย่างไรจึงจะถูกต้อง ข้อพิจารณาในการเลือกระบบลิฟท์อาจจะพิจารณาแยกออกเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ
1. ระยะเวลาในการรอลิฟท์เมื่อกดเรียก (บางตึกคำนวณผิดพลาด อาจต้องรอตั้ง 20 นาที กว่าจะได้ เข้าลิฟท์)
2. อัตราความรวดเร็วของการลำเลียงขนส่งคนออกจากอาคาร ในกรณีที่ต้องการความเร่งด่วน
ข้อพิจารณาทั้ง 2 ข้อจะเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นของการเลือกระบบลิฟท์ ซึ่งการที่จะได้คำตอบนั้นต้อง
…. ปรึกษา บริษัทลิฟท์ หรือวิศวกรเครื่องกล ที่มีความชำนาญ… เท่านั้น เพื่อความสุขของท่าน และผู้ใช้อาคาร การเลือกระบบลิฟท์ ไม่น่าจะเลือกโดยการเดาสุ่ม เพราะอาจเกิดปัญหาใหญ่หลวงได้ภายหลัง มีอาคารบางอาคาร ที่ออกแบบให้ชั้นบนสุด ของอาคารเป็น สำนักงาน หรือที่พักอาศัย แล้วเปลี่ยนแปลง การใช้อาคารภายหลัง ให้ชั้นบนสุดกลายเป็น ภัตตาคาร หรือกิจกรรมอื่นใด ที่มีคนไปใช้มาก (Public Function) แล้วไม่มี การเปลี่ยนแปลง (เพิ่มเติม) ระบบลิฟท์อาจทำให้ ระบบการขนส่งทางตั้งของอาคารนั้น ล้มเหลวทั้งหมด เพราะในการออกแบบคำนวณ จำนวน-ขนาด-ความเร็ว ของลิฟท์แต่ต้นคำนวณว่า การใช้ลิฟท์ เมื่ออาคารชั้นสูงขึ้นไป ๆ จะมีคนใช้น้อยลง ๆ พอเปลี่ยนเป็นที่ยอดอาคารมีคนใช้มากมาย ก็เกิดอาการ "หัวโตขาลีบ" ระบบลิฟท์ ก็จะล้มเหลว
อย่าลืมอะไรในบ่อลิฟท์ ?
บ่อลิฟท์ คือหลุมที่อยู่ล่างสุดของปล่องลิฟท์ ซึ่งมืดมิดสนิทแน่ ปัญหาที่มักพบเจอก็คือ เวลาจะซ่อมแซม หรือบำรุงรักษาลิฟท์ ไม่มีแสงสว่างเพียงพอ การต่อสายไฟ จากส่วนอื่นก็ทำให้ การใช้อาคารวุ่นวาย การใช้ไฟฉายก็ ไม่สะดวก และไม่สว่างเพียงพอ ดังนั้น… อย่าลืมปลั๊ก (outlet) ไว้สักจุดในบ่อลิฟท์ นะครับ
ห้องเครื่องลิฟท์สูงไม่พอจะทำอย่างไร ?
ลิฟท์โดยทั่วไป ด้านล่างจะเป็นบ่อลิฟท์ และด้านบนจะเป็นห้องเครื่องลิฟท์ สูงประมาณ 3 เมตร ซึ่งบางครั้ง เป็นตัวปัญหา ของอาคาร ที่ถูกจำกัดความสูง… หากท่านเกิดปัญหานั้น ลองใช้ลิฟท์ระบบ "ไฮดรอลิค" ดู อาจจะช่วย ท่านได้บ้าง เพราะลิฟท์ระบบนี้ จะใช้ไฮดรอลิค ดันจากข้างล่าง ขึ้นไป เหมือนแม่แรงยกรถ แต่ก็มีข้อเสียคือ ราคาจะแพง และขึ้นได้ไม่สูงนัก …. รายละเอียดเพิ่มเติมหาได้ที่บริษัทลิฟท์ทั่วไป
อย่าลืมอะไรในห้องเครื่องลิฟท์ ?
คำว่า ห้องเครื่อง ก็บอกอยู่แล้วว่าจะต้องมี "เครื่องยนต์" ซึ่งเมื่อมีเครื่องยนต์ ก็จะต้องมีความร้อนเกิดขึ้น เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้น หากไม่มีการถ่ายเทความร้อน หรือมีเครื่องทำความเย็น เครื่องยนต์ก็จะเสีย และเมื่อเครื่องยนต์เสีย ระบบลิฟท์ของอาคาร ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้น…. ในห้องเครื่องลิฟท์ อย่าลืมว่า ต้องมีอากาศถ่ายเทเป็นอย่างดี หากไม่เช่นนั้นก็ต้องมี เครื่องปรับอากาศ เตรียมเอาไว้ด้วย ...
ที่มา : http://www.smilehomes.com/w_lift1.htm
1. ระยะเวลาในการรอลิฟท์เมื่อกดเรียก (บางตึกคำนวณผิดพลาด อาจต้องรอตั้ง 20 นาที กว่าจะได้ เข้าลิฟท์)
2. อัตราความรวดเร็วของการลำเลียงขนส่งคนออกจากอาคาร ในกรณีที่ต้องการความเร่งด่วน
ข้อพิจารณาทั้ง 2 ข้อจะเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นของการเลือกระบบลิฟท์ ซึ่งการที่จะได้คำตอบนั้นต้อง
…. ปรึกษา บริษัทลิฟท์ หรือวิศวกรเครื่องกล ที่มีความชำนาญ… เท่านั้น เพื่อความสุขของท่าน และผู้ใช้อาคาร การเลือกระบบลิฟท์ ไม่น่าจะเลือกโดยการเดาสุ่ม เพราะอาจเกิดปัญหาใหญ่หลวงได้ภายหลัง มีอาคารบางอาคาร ที่ออกแบบให้ชั้นบนสุด ของอาคารเป็น สำนักงาน หรือที่พักอาศัย แล้วเปลี่ยนแปลง การใช้อาคารภายหลัง ให้ชั้นบนสุดกลายเป็น ภัตตาคาร หรือกิจกรรมอื่นใด ที่มีคนไปใช้มาก (Public Function) แล้วไม่มี การเปลี่ยนแปลง (เพิ่มเติม) ระบบลิฟท์อาจทำให้ ระบบการขนส่งทางตั้งของอาคารนั้น ล้มเหลวทั้งหมด เพราะในการออกแบบคำนวณ จำนวน-ขนาด-ความเร็ว ของลิฟท์แต่ต้นคำนวณว่า การใช้ลิฟท์ เมื่ออาคารชั้นสูงขึ้นไป ๆ จะมีคนใช้น้อยลง ๆ พอเปลี่ยนเป็นที่ยอดอาคารมีคนใช้มากมาย ก็เกิดอาการ "หัวโตขาลีบ" ระบบลิฟท์ ก็จะล้มเหลว
อย่าลืมอะไรในบ่อลิฟท์ ?
บ่อลิฟท์ คือหลุมที่อยู่ล่างสุดของปล่องลิฟท์ ซึ่งมืดมิดสนิทแน่ ปัญหาที่มักพบเจอก็คือ เวลาจะซ่อมแซม หรือบำรุงรักษาลิฟท์ ไม่มีแสงสว่างเพียงพอ การต่อสายไฟ จากส่วนอื่นก็ทำให้ การใช้อาคารวุ่นวาย การใช้ไฟฉายก็ ไม่สะดวก และไม่สว่างเพียงพอ ดังนั้น… อย่าลืมปลั๊ก (outlet) ไว้สักจุดในบ่อลิฟท์ นะครับ
ห้องเครื่องลิฟท์สูงไม่พอจะทำอย่างไร ?
ลิฟท์โดยทั่วไป ด้านล่างจะเป็นบ่อลิฟท์ และด้านบนจะเป็นห้องเครื่องลิฟท์ สูงประมาณ 3 เมตร ซึ่งบางครั้ง เป็นตัวปัญหา ของอาคาร ที่ถูกจำกัดความสูง… หากท่านเกิดปัญหานั้น ลองใช้ลิฟท์ระบบ "ไฮดรอลิค" ดู อาจจะช่วย ท่านได้บ้าง เพราะลิฟท์ระบบนี้ จะใช้ไฮดรอลิค ดันจากข้างล่าง ขึ้นไป เหมือนแม่แรงยกรถ แต่ก็มีข้อเสียคือ ราคาจะแพง และขึ้นได้ไม่สูงนัก …. รายละเอียดเพิ่มเติมหาได้ที่บริษัทลิฟท์ทั่วไป
อย่าลืมอะไรในห้องเครื่องลิฟท์ ?
คำว่า ห้องเครื่อง ก็บอกอยู่แล้วว่าจะต้องมี "เครื่องยนต์" ซึ่งเมื่อมีเครื่องยนต์ ก็จะต้องมีความร้อนเกิดขึ้น เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้น หากไม่มีการถ่ายเทความร้อน หรือมีเครื่องทำความเย็น เครื่องยนต์ก็จะเสีย และเมื่อเครื่องยนต์เสีย ระบบลิฟท์ของอาคาร ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้น…. ในห้องเครื่องลิฟท์ อย่าลืมว่า ต้องมีอากาศถ่ายเทเป็นอย่างดี หากไม่เช่นนั้นก็ต้องมี เครื่องปรับอากาศ เตรียมเอาไว้ด้วย ...
ที่มา : http://www.smilehomes.com/w_lift1.htm
ประวัติความเป็นมาของลิฟท์
ความเป็นมาของลิฟต์ ลิฟต์พาหนะโดยสารสำหรับอาคารสูง ที่มีใช้กันอยู่แพร่หลายในปัจจุบัน มีประวัติก่อกำเนิดมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ หรือเมื่อ 253 ปี ก่อนคริสตกาล โดยผู้ริเริ่มใช้คนแรก คือArchimedes นักปราชญ์ชื่อดังชาวกรีก และใช่เรื่อยมาถึงสมัยอาณาจักรโรมัน ในสมัยอียิปต์โบราณได้ใช้ลิฟต์เป็นอุปกรณ์ในการก่อสร้างปิรามิด โดยใช้แรงคนหรือสัตว์และพลังน้ำในการขับเคลื่อน แม้ในสมัยจักรพรรดิ์นโปเลียน ก็มีลิฟต์ที่เรียกว่า “เก้าอี้เหาะ” แต่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งจึงเสื่อมความนิยมลง
ช่วงที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมลิฟต์อย่างแท้จริงคือ ช่วงปฏิบัติอุตสาหกรรม ที่เริ่มนำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้กับลิฟต์ในประเทศอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการโดยสารจนกระทั่งปี 1852 จึงเริ่มพัฒนาลิฟต์ให้มีความปลอดภัยในการใช้โดยสารมากขึ้น ด้วยการคิดค้นอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัย พร้อมกับการคิดค้นลิฟต์ที่ใช้เครื่องจักรและสลิงในการขับเคลื่อน จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมลิฟต์อย่างแท้จริง
ในปี 1861 ได้พัฒนารูปแบบลิฟต์จากที่เคยใช้สลิงเพียง 1 หรือ 2 เส้นมาเป็นสลิงหลายเส้นเพื่อให้มีความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารมากขึ้น และถือเป็นมาตรฐานในการผลิตลิฟต์นับแต่นั้นมา ต่อมาในปี 1887 ได้มีการผลิตลิฟต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในอเมริกา จากนั้นก็ได้มีการพัฒนารูปแบบและระบบเทคโนโลยี่ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน
ในประเทศไทย เริ่มมีการนำลิฟต์มาติดตั้งครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยการนำเข้าลิฟต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรจากอิตาลีมาติดตั้ง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและติดตั้งลิฟต์ที่ขับเคลื่อนโดยแรงคนที่พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน เมื่อมีไฟฟ้าใช้จึงได้เริ่มนำเข้าลิฟต์จากต่างประเทศเพื่อติดตั้งตามหน่วยงานราชการ พร้อมให้การดูแลบำรุงรักษาอันเป็นที่มาเริ่มแรกของการใช้ลิฟต์ในประเทศ ก่อนที่จะพัฒนามาโดยลำดับจวบจนปัจจุบัน
คนส่วนมากมักมองว่าอุตสาหกรรมลิฟต์ใหม่และลิฟต์บริการเป็นเรื่องเดียวกัน แต่โดยลักษณะงานแล้ว ธุรกิจทั้งสองส่วนนี้มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของเนื้อหางาน และกฎระเบียบต่างๆ (ในกรณีของประเทศที่มีกฎหมายบังคับเรื่องลิฟต์)
ช่วงที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมลิฟต์อย่างแท้จริงคือ ช่วงปฏิบัติอุตสาหกรรม ที่เริ่มนำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้กับลิฟต์ในประเทศอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการโดยสารจนกระทั่งปี 1852 จึงเริ่มพัฒนาลิฟต์ให้มีความปลอดภัยในการใช้โดยสารมากขึ้น ด้วยการคิดค้นอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัย พร้อมกับการคิดค้นลิฟต์ที่ใช้เครื่องจักรและสลิงในการขับเคลื่อน จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมลิฟต์อย่างแท้จริง
ในปี 1861 ได้พัฒนารูปแบบลิฟต์จากที่เคยใช้สลิงเพียง 1 หรือ 2 เส้นมาเป็นสลิงหลายเส้นเพื่อให้มีความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารมากขึ้น และถือเป็นมาตรฐานในการผลิตลิฟต์นับแต่นั้นมา ต่อมาในปี 1887 ได้มีการผลิตลิฟต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในอเมริกา จากนั้นก็ได้มีการพัฒนารูปแบบและระบบเทคโนโลยี่ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน
ในประเทศไทย เริ่มมีการนำลิฟต์มาติดตั้งครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยการนำเข้าลิฟต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรจากอิตาลีมาติดตั้ง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและติดตั้งลิฟต์ที่ขับเคลื่อนโดยแรงคนที่พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน เมื่อมีไฟฟ้าใช้จึงได้เริ่มนำเข้าลิฟต์จากต่างประเทศเพื่อติดตั้งตามหน่วยงานราชการ พร้อมให้การดูแลบำรุงรักษาอันเป็นที่มาเริ่มแรกของการใช้ลิฟต์ในประเทศ ก่อนที่จะพัฒนามาโดยลำดับจวบจนปัจจุบัน
คนส่วนมากมักมองว่าอุตสาหกรรมลิฟต์ใหม่และลิฟต์บริการเป็นเรื่องเดียวกัน แต่โดยลักษณะงานแล้ว ธุรกิจทั้งสองส่วนนี้มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของเนื้อหางาน และกฎระเบียบต่างๆ (ในกรณีของประเทศที่มีกฎหมายบังคับเรื่องลิฟต์)
กฎหมายเกี่ยวกับลิฟต์ในอาคาร
กฎหมายเกี่ยวกับลิฟต์ เพื่อความปลอดภัยในอาคาร
ตามกฏกระทรวงฉบับ 33 (พรบ. 2522) ข้อ 46 ระบุไว้ว่า
1. ลิฟต์สามารถหยุดตรงชั้นระดับดิน และประตูจะต้องเปิดโดยอัตโนมัติ เมื่อไฟฟ้าดับ
2. ต้องมีสัญญานเตือน และลิฟต์ต้องไม่เคลื่อนที่เมื่อบรรทุกน้ำหนักเกิน
3. มีอุปกรณ์หยุดลิฟต์ในระยะทางที่ กำหนด เมื่อลิฟต์มีความเร็วเกินกำหนด
4. มีระบบป้องกันประตูหนีบ
5. ลิฟต์ต้องไม่เคลื่อนที่ ถ้าประตูปิดไม่สนิท
6. ประตูลิฟต์ต้องไม่เปิดในขณะที่ เคลื่อนที่อยู่ หรือจอดไม่ตรงชั้น
7. มีระบบติดต่อภายนอกและสัญญาณแจ้ง เหตุขัดข้อง
8. มีระบบแสงสว่างฉุกเฉินในห้อง ลิฟต์ และหน้าชั้นที่จอด
9. มีการระบายอากาศในห้องลิฟต์
ที่มา http://www.thaihomemaster.com/showinformation.php?TYPE=31
ตามกฏกระทรวงฉบับ 33 (พรบ. 2522) ข้อ 46 ระบุไว้ว่า
1. ลิฟต์สามารถหยุดตรงชั้นระดับดิน และประตูจะต้องเปิดโดยอัตโนมัติ เมื่อไฟฟ้าดับ
2. ต้องมีสัญญานเตือน และลิฟต์ต้องไม่เคลื่อนที่เมื่อบรรทุกน้ำหนักเกิน
3. มีอุปกรณ์หยุดลิฟต์ในระยะทางที่ กำหนด เมื่อลิฟต์มีความเร็วเกินกำหนด
4. มีระบบป้องกันประตูหนีบ
5. ลิฟต์ต้องไม่เคลื่อนที่ ถ้าประตูปิดไม่สนิท
6. ประตูลิฟต์ต้องไม่เปิดในขณะที่ เคลื่อนที่อยู่ หรือจอดไม่ตรงชั้น
7. มีระบบติดต่อภายนอกและสัญญาณแจ้ง เหตุขัดข้อง
8. มีระบบแสงสว่างฉุกเฉินในห้อง ลิฟต์ และหน้าชั้นที่จอด
9. มีการระบายอากาศในห้องลิฟต์
ที่มา http://www.thaihomemaster.com/showinformation.php?TYPE=31
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับลิฟท์
อ่านเจอบลอกเรื่อง Things You Don’t Know About Modern Elevators ทำให้นึกถึงตอนที่ลิฟท์ตึกที่พักเสียเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ว่าจริงๆ แล้วใช้ลิฟท์นี่ปลอดภัยมากกว่าที่คิด แม้ว่าความรู้สึกในการเข้าไปอยู่ในกล่องเล็กๆ ที่ไม่เห็นโลกภายนอก บวกกับความกลัวไปเองว่าถ้าสายสลิงขาด ระบบกลไกขัดข้อง บางครั้งก็รู้สึกว่าลิฟท์ลงแบบกระฉากๆ นั้น จริงๆ มันปลอดภัยมากๆ อย่างข้อมูลส่วนหนึ่งที่อยู่ในบลอกเค้าบอกว่า
ปุ่มกดปิดประตูลิฟท์ที่มีอยู่ในลิฟท์เป็นปุ่มหลอกที่ทำให้คนกดรู้สึกว่าเมื่อกดแล้วประตูจะปิดตามที่เรากด อันนี้น่าคิด เพราะหลายครั้งก็รู้สึกจริงๆ ว่ากดไปมันก็ไม่ได้ช่วยปิดประตูลิฟท์เร็วขึ้น
จำนวนที่ลิฟต์ร่วงตกจากสายสลิงขาดในประวัติศาสตร์มีครั้งเดียว เกิดขึ้นช่วงสงครามโลกปี 1945 ที่ตึกเอ็มไพร์สเตท เครื่องบินบอมเบอร์ชนตึกทำให้สายสลิงสองเส้นของลิฟท์เสียหาย ลิฟต์ร่วงตกโดยมีผู้โดยสารผู้หญิงอยู่คนหนึ่งบนชั้น 75 แต่โชคช่วยเค้าไม่ตาย เพราะมีสายสลิงที่ขาดด้านล่างลิฟท์กองอยู่ ทำให้ลดแรงกระแทกไปได้มาก
ลิฟท์มีจำนวนมากกว่าบันไดเลื่อนถึง 20 เท่า แต่มีอุบัติเหตุเกิดมากกว่าเพียง 1/3 เท่า
มีคนตายจากลิฟท์ในสหรัฐฯปีละ 26 คน ส่วนใหญ่คือช่างที่ทำงานในลิฟท์ ในขณะที่คนตายจากอุบัติเหตุจากรถยนต์ 26 คนทุกๆ 5 ชั่วโมง
ลิฟท์ที่ทุกคนแม้ไม่สังเกตุแต่ถ้าได้ยินก็คงร้องอ๋อ คือยี่ห้อ OTIS ขนคนขึ้นลงลิฟท์ทั่วโลกเป็นจำนวนมากเท่าจำนวนคนบนโลกทุกๆ 5 วัน
ความเชื่อที่ว่าถ้าลิฟท์ตก ก่อนมันกระแทกพื้นให้กระโดดจากพื้นลิฟท์จะปลอดภัย ความเป็นจริงคงยากที่จะกระโดดจังหวะเดียวกับการกระแทก ถึงกระโดดได้ก็ไม่เร็วพอที่จะสวนทางความเร็วของการกระแทกอยู่ดี (ภาวนาให้มีสายสลิงกองอยู่เหมือนกรณีข้างบน
ลิฟท์ไม่สามารถทำให้สูงเกิน 1,700 ฟุต เพราะตามทฤษฏีสายสลิงจะรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหวถ้าสายยาวเกินกว่า 3,200 ฟุต
ใครขึ้นลิฟท์อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าลิฟท์จะตก แต่ถ้าเป็นลิฟท์ค้าง อาจแจ็คพ๊อทเจอได้ ล่าสุดคนนิวยอร์กติดในลิฟท์ไป 41 ชั่วโมง ฟ้องร้องตึกเรียกร้องค่าเสียหายได้หลายแสนเหรียญเลย
ที่มา : http://weerasak.com/?p=1176
ปุ่มกดปิดประตูลิฟท์ที่มีอยู่ในลิฟท์เป็นปุ่มหลอกที่ทำให้คนกดรู้สึกว่าเมื่อกดแล้วประตูจะปิดตามที่เรากด อันนี้น่าคิด เพราะหลายครั้งก็รู้สึกจริงๆ ว่ากดไปมันก็ไม่ได้ช่วยปิดประตูลิฟท์เร็วขึ้น
จำนวนที่ลิฟต์ร่วงตกจากสายสลิงขาดในประวัติศาสตร์มีครั้งเดียว เกิดขึ้นช่วงสงครามโลกปี 1945 ที่ตึกเอ็มไพร์สเตท เครื่องบินบอมเบอร์ชนตึกทำให้สายสลิงสองเส้นของลิฟท์เสียหาย ลิฟต์ร่วงตกโดยมีผู้โดยสารผู้หญิงอยู่คนหนึ่งบนชั้น 75 แต่โชคช่วยเค้าไม่ตาย เพราะมีสายสลิงที่ขาดด้านล่างลิฟท์กองอยู่ ทำให้ลดแรงกระแทกไปได้มาก
ลิฟท์มีจำนวนมากกว่าบันไดเลื่อนถึง 20 เท่า แต่มีอุบัติเหตุเกิดมากกว่าเพียง 1/3 เท่า
มีคนตายจากลิฟท์ในสหรัฐฯปีละ 26 คน ส่วนใหญ่คือช่างที่ทำงานในลิฟท์ ในขณะที่คนตายจากอุบัติเหตุจากรถยนต์ 26 คนทุกๆ 5 ชั่วโมง
ลิฟท์ที่ทุกคนแม้ไม่สังเกตุแต่ถ้าได้ยินก็คงร้องอ๋อ คือยี่ห้อ OTIS ขนคนขึ้นลงลิฟท์ทั่วโลกเป็นจำนวนมากเท่าจำนวนคนบนโลกทุกๆ 5 วัน
ความเชื่อที่ว่าถ้าลิฟท์ตก ก่อนมันกระแทกพื้นให้กระโดดจากพื้นลิฟท์จะปลอดภัย ความเป็นจริงคงยากที่จะกระโดดจังหวะเดียวกับการกระแทก ถึงกระโดดได้ก็ไม่เร็วพอที่จะสวนทางความเร็วของการกระแทกอยู่ดี (ภาวนาให้มีสายสลิงกองอยู่เหมือนกรณีข้างบน
ลิฟท์ไม่สามารถทำให้สูงเกิน 1,700 ฟุต เพราะตามทฤษฏีสายสลิงจะรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหวถ้าสายยาวเกินกว่า 3,200 ฟุต
ใครขึ้นลิฟท์อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าลิฟท์จะตก แต่ถ้าเป็นลิฟท์ค้าง อาจแจ็คพ๊อทเจอได้ ล่าสุดคนนิวยอร์กติดในลิฟท์ไป 41 ชั่วโมง ฟ้องร้องตึกเรียกร้องค่าเสียหายได้หลายแสนเหรียญเลย
ที่มา : http://weerasak.com/?p=1176
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ติดต่อ...MTTS
บริษัท เอ็ม ที ที เอส เอลิเวเตอร์ เซอร์วิส จำกัด
MTTS Elevator Service Co., Ltd
72/764 Moo 6 Samaphakram Rd. T.Kukod A. Lumlukka Pathumthani 12130.
โทรศัพย์ 02-987-7031, 081-704-9988
โทรสาร 02-904-4520, 053-867-018
ศูนย์บริการ ภาคเหนือ 053-867-018
MTTSservice@hotmail.com
MTTS Elevator Service Co., Ltd
72/764 Moo 6 Samaphakram Rd. T.Kukod A. Lumlukka Pathumthani 12130.
โทรศัพย์ 02-987-7031, 081-704-9988
โทรสาร 02-904-4520, 053-867-018
ศูนย์บริการ ภาคเหนือ 053-867-018
MTTSservice@hotmail.com
ประเภทของลิฟท์
MTTS Service ยินดีให้บริการเกี่ยวกับ
1. ลิฟท์โดยสาร (Passenger Elevator)
2. ลิฟท์บรรทุกของ (Freight Elevator)
3. ลิฟท์บรรทุกเตียงคนไข้ (Bed Elevator)
4. ลิฟท์บรรทุกรถยนต์ (Automobile Elevator)
5. ลิฟท์ส่งของ (Dumb Waiter)
ฯลฯ
ติดต่อขอ รับบริการ MTTSservice@hotmail.com
ตลอด 24 ชั่วโมง
1. ลิฟท์โดยสาร (Passenger Elevator)
2. ลิฟท์บรรทุกของ (Freight Elevator)
3. ลิฟท์บรรทุกเตียงคนไข้ (Bed Elevator)
4. ลิฟท์บรรทุกรถยนต์ (Automobile Elevator)
5. ลิฟท์ส่งของ (Dumb Waiter)
ฯลฯ
ติดต่อขอ รับบริการ MTTSservice@hotmail.com
ตลอด 24 ชั่วโมง
Products การบริการ
1. ติดตั้งลิฟท์ใหม่
2. ดูแลประจำวัน เดือน ปี
3. Service ตลอด 24 ชั่วโมง
4. บริการทั่วประเทศไทย
5. มีศูนย์บริการภาคเหนือ
MTTS Service Elevator มีช่างผู้เชี่ยวชาญ ลิฟท์ทุกยี่ห้อ ทุก Brand
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี
ด้วยราคามิตรภาพ
2. ดูแลประจำวัน เดือน ปี
3. Service ตลอด 24 ชั่วโมง
4. บริการทั่วประเทศไทย
5. มีศูนย์บริการภาคเหนือ
MTTS Service Elevator มีช่างผู้เชี่ยวชาญ ลิฟท์ทุกยี่ห้อ ทุก Brand
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี
ด้วยราคามิตรภาพ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)